การบำบัดผู้ติดยาเสพติดตระกูลฝิ่นด้วยเมทาโดนช่วยรักษาชีวิตคนได้

การแก้ไขปัญหาการเสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาดหรือโอเวอร์โด๊สที่ได้ผลดีมากวิธีหนึ่งคือการบำบัดด้วยเมทาโดน (methadone) ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์ในสหรัฐอเมริกาใช้กันมานานหลายสิบปีแล้ว การเสียชีวิตจากโอเวอร์โด๊สที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการขยายการเข้าถึงการบำบัดผู้ติดยาเสพติดตระกูลฝิ่นด้วยเมทาโดน[1] แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับประสิทธิผลของเมทาโดนในการลดอันตรายและเสียชีวิตจากยาเสพติดตระกูลฝิ่น แต่กฏระเบียบที่เข้มงวดของประเทศเป็นปัญหาสำคัญที่กีดกันคนไม่ให้เข้าถึงเมทาโดน

                คริสตัล พาร์คเกอร์ (Krystal Parker) หญิงอายุ 41 ปีที่มีลูกสามคน และอดีตผู้ติดยาเฮโรอีนจากรัฐฟลอริดาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอต้องเดินทางด้วยรถเมลล์ทุกวันเพื่อไปรับเมทาโดนที่คลินิกเมทาโดนแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา​ ปาร์คเกอร์อธิบายว่าเมทาโดนช่วยควบคุมความรู้สึกกระวนกระวายและอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากการหยุดยาเสพติด (หรืออาการถอนยา) เมทาโดนช่วยทำให้ความรู้สึกอยากยา (หรือเสี้ยนยาซึ่งเป็นความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะใช้ยาเสพติด) หายไปและไม่ทำให้เธอเมายา

                ตามกฏหมายแล้วในสหรัฐอเมริกาคลินิกที่จะจ่ายเมทาโดนได้ต้องเป็นคลินิกที่เกี่ยวกับการบำบัดยาเสพติดเท่านั้น กฏหมายดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคกีดกั้นไม่ให้คนจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้เมทาโดนไม่สามารถเข้าถึงยาที่จะช่วยลดความทุกข์ทรมาณ และป้องกันการโอเวอร์โด๊สได้[2]

                ข้อจำกัดของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับการบำบัดด้วยเมทาโดนเป็นเงื่อนไขที่เน้นมุมมองของกฏหมายมากกว่ามุมมองของการรักษาทางคลินิก กฏหมายเน้นความแน่นอน ชัดเจน แต่ในแพทย์และพยาบาลไม่สามารถรักษาคนไข้ทุกคนเหมือนกันหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด

                เมทาโดน นาลเทรกโซน (naltrexone) และบิวพรีนอร์ฟีน (buprenorphine) เป็นยาสามชนิดที่ได้รับอนุมัติให้ใช้บำบัดยาเสพติดในสหรัฐอเมริกา นาลเทรกโซนเป็นยาที่ใช้สำหรับแก้โรคพิษสุราเรื้อรังและการติดยาเสพติดตระกูลฝิ่นและแพทย์ทั่วไปสามารถสั่งจ่ายยาได้ บิวพรีนอร์ฟีนมีฤทธิ์ต่ำกว่าเมทาโดนและแพทย์สามารถสั่งจ่ายบิวพรีนอร์พีนได้นอกเหนือจากคลินิกบำบัดยาเสพติด

                เมทาโดนเป็นยาที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นยาแก้ปวดสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบในสงคราม เมทาโดนมีความปลอดภัยมากกว่ายาเสพติดที่หาได้ตามท้องถนนเพราะมันไม่ก่อเกิดอาการเมาและหายเมาที่ขึ้นและลงเร็วเหมือนเหมือนกับยาเสพติดตระกูลฝิ่นอื่นๆ และมันกดความรู้สึกเสี้ยนยาที่เกิดขึ้นทั่วตัว ระดับของเมทาโดนในร่างกายคงที่มากกว่ายาตระกูลฝิ่นอื่นๆ เช่น เฮโรอีน และเฟนทานิล (fentanyl)

                ดาเนียล เดธเทอเรจ (Daniel Deatherage) ชายอายุ 42 ปีจากรัฐเคนทักกี้เป็นคนหนึ่งที่ต้องทนนั่งรถไป-กลับครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่งทุกวันเพื่อไปรับเมทาโดนที่คลินิกเมทาโดนที่ใกล้บ้านเขาที่สุด การเดินทางเช่นนั้นทำให้เขาต้องทำงานกะกลางคืนเท่านั้นเพื่อให้สามารถไปรับยาได้ทุกวัน ถึงแม้ว่าการเดินทางไกลเช่นนั้นทุกวันเหน็ดเหนื่อยมากแต่เดธเทอเรจคิดว่าคุ้มค่าเพราะว่าเมทาโดนทำให้เขามีชีวิตเหมือนคนอื่นได้ เดธเทอเรจติดยาแก้ปวด เฮโรอีน และยาตระกูลฝิ่นมาเป็นเวลานานและได้พยายามเลิกมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ

ผู้ต้องสงสัยว่าทำผิดกฏหมาย

การไปรับเมทาโดนที่คลินิกนั้นกิจกรรมที่ผู้ไปรับยาต้องทำทุกวันเหมือนกับว่าพวกเขาถูกทำทัณฑ์บนไม่ว่าจะเป็นการเข้าแถวรอรับยาตั้งแต่เช้า กิจกรรมเกี่ยวกับการปรึกษา การกรอกแบบฟอร์มต่างๆ และการถูกเฝ้ามองเมื่อพวกเขากินยาเมทา-โดน ซึ่ง พญ. แอริน แฟนนิ่ง แมดเดน (Dr. Erin Fanning Madden) ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขและแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนให้ข้อคิดว่าไม่มีการรักษาในบริบทอื่นที่คนไข้ถูกมองด้วยความสงสัยว่าเป็นผู้ทำผิดกฏหมายเมื่อพวกเขาเริ่มการบำบัดรักษา เพราะการเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการปรึกษา การตรวจปัสสาวะ และการมาที่คลินิกทุกวันเป็นเงื่อนไขที่คนไข้ทุกคนต้องทำตาม หากขาดนัดโด๊สของเมทาโดนจะถูกลดลง ซึ่งเสมือนกับการลงโทษทางอ้อมนั้นเอง

                ผู้รับเมทาโดนที่คลินิกเล่าถึงเรื่องที่ต้องรีบไปคลินิกทุกวันก่อนเลยเวลาหยุดการให้เมทาโดน (10.30 น. ตอนเช้า) หากไปช้ากว่านั้นเพียงนาทีเดียวคลินิกบำบัดยาเสพติดหลายแห่งจะไม่ยอมให้คนไข้เข้าไปรับยา ทำให้มีคนเรียกการรีบไปคลินิกว่าเป็น “เมทาโดน 500” [ซึ่งเป็นการเล่นคำของการแข่งรถที่มีชื่อในสหรัฐอเมริกา “อินเดียนาโพลิส 500”]

                เงื่อนไข ข้อบังคับต่างๆของคลินิกเมทาโดนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงเมทาโดน และทำให้คนจำนวนหนึ่งรณรงค์ให้เลิกใช้ระบบการจ่ายเมทาโดนโดยคลินิกบำบัดยาเสพติด รวมถึงองค์กรระดับประเทศที่ออกแถลงการณ์เมทาโดน (Methadone Manifesto) เรียกร้องให้เลิกระบบนี้ และส่งเสริมการขยายการเข้าถึงเมทาโดนที่จะทำให้คนไข้สามารถควบคุมชีวิตของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น

                ข้อมูลของรัฐบาลกลางแสดงว่าทั่วทั้งประเทศมีคลินิกเมทาโดนประมาณ 2,000 แห่งที่ให้บริการแก่คนอย่างน้อย 300,000 คนซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของคน 2.1 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาที่ติดยาเสพติด และในหลายรัฐของประเทศมีคลินิกเมทาโดนเพียงไม่กี่แห่ง และบางรัฐไม่มีเลย พญ. โนรา โวลโคฟ (Dr. Nora Volkow) ผู้อำนวยการของสถาบันยาเสพติดแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (The National Institute on Drug Abuse – NIDA) กล่าวว่า “เรามีคลินิกเมทาโดนไม่เพียงพอ”

                การศึกษาหนึ่งที่เสนอผลงานวิจัยในปีคศ. 2020 แสดงว่ารัฐที่มีอัตราการตายจากโอเวอร์โด๊สสูงเป็นรัฐที่คนไข้ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลมากเพื่อไปรับเมทาโดนที่คลินิก

                ในช่วงการระบาดของโควิด-19 องค์การบริการเกี่ยวกับสารเสพติดและบริการสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาลดหย่อนข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายเมทาโดนทำให้คลินิกมีความยืดหยุ่นที่จะให้เมทาโดนแก่คนไข้ที่การบำบัดคงที่แล้วให้สามารถนำเอาเมทาโดนจำนวน 28 โด๊สไปใช้เองที่บ้านได้ ส่วนคนไข้ที่ได้รับการบำบัดที่คลินิกไม่นานและมีผลการตรวจสารเสพติดเป็นลบสองสามคร้ังสามารถนำเอาเมทาโดนจำนวน 14 โด๊สไปใช้ที่บ้านได้

การวิจัยหนึ่งที่ทำในชุมชนชนบทแสดงว่าคนไข้ที่การบำบัดคงตัวแล้วและได้รับเมทาโดนไปใช้เองที่บ้านมีผลตรวจปัสสาวะเป็นบวกน้อยครั้งลง และพวกเขารู้สึกว่าคนอื่นไว้วางใจพวกเขา นอกจากนั้นเวลาในการเดินทางที่ลดน้อยลงทำให้พวกเขามีเวลามากขึ้นสำหรับครอบครัวและการทำงาน

คริสตัล พาร์คเกอร์กล่าวว่าการที่เธอสามารถนำเอาเมทาโดนไปใช้เองที่บ้านทำให้เธอมีเวลามากขึ้นสำหรับทำงานและดูแลลูกสามคนของเธอ ภาพโดย Thomas Simonetti  สำหรับ The Washington Post

ในปลายปีคศ. 2020 องค์การบริการเกี่ยวกับสารเสพติดและบริการสุขภาพจิตเสนอให้การรับยาเมทาโดนไปใช้เองที่บ้านเป็นเรื่องถาวร และอ้างถึงการวิจัยที่ระบุข้างบนว่าคนไข้เห็นผลกระทบทางบวกของการบำบัดฟื้นฟูของพวกเขา รวมถึงเพิ่มความเป็นไปได้ของการคงอยู่ต่อไปในการบำบัดให้สูงขึ้น และความเป็นไปได้ที่ลดลงในการใช้ยาเสพติดผิดกฏหมาย

                ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ คศ. 2023 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ของการวิจัย 29 โครงการที่สนับสนุนการเปลี่ยนนโยบายการรับเมทาโดนไปใช้ที่บ้านให้เป็นเรื่องถาวร

                อย่างไรก็ตามมีผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนให้ระมัดระวังเพราะถึงแม้ว่าเมทาโดนจะไม่ทำให้เกิดอาการเมายาที่เข้มข้นเหมือนเฮโรอีนหรือเฟนทานิล แต่คนสามารถใช้เมทาโดนในทางที่ผิดที่จะนำไปสู่โอเวอร์โด๊สได้  และนักวิจัยกลุ่มหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อประเทศเดนมาร์กผ่อนคลายมาตราการใช้เมทาโดน อัตราการโอเวอร์โด๊สจากเมทาโดนเพิ่มสูงขึ้นเท่ากับอัตราการโอเวอร์โด๊สจากเฮโรอีนที่ลดลง ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ด้านสาธารณสุขหรือด้านความปลอดภัยที่จะเกิดจากนโยบายใหม่ถูกลบล้างไปหมด

                สำหรับสหรัฐอเมริกานั้นเวลายังไม่นานพอที่จะบอกได้ว่าความกังวลดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาแสดงว่าหลังจากการผ่อนคลายนโยบายที่อนุญาติให้คนรับเอาเมทาโดนไปใช้ที่บ้านได้ในปีคศ. 2020 มีคนตายจากโอเวอร์โด๊สที่เกี่ยวกับเมทาโดน 3,359 คน ซึ่งเพิ่มจากปีก่อนหน้านั้น 30% แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นโอเวอร์โด๊สจากเมทาโดนที่ซื้อขายตามท้องถนนเท่าไร และในปี 2021 มีคน 3,528 คนที่ตายจากโอเวอร์โด๊สที่เกี่ยวกับเมทาโดน

                ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนนโยบายให้คนรับเอาเมทาโดนไปใช้เองที่บ้านได้กล่าวว่าจำนวนคนตายสามพันกว่าคนนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของจำนวนคนตายจากโอเวอร์โด๊สที่เกี่ยวกับยาเสพติดทั้งหมดของปี 2021 ที่มากถึง 107,000 คน และชี้ให้เห็นว่าหากมีคนที่ติดยาเสพติดที่เลือกใช้เมทาโดนแทนยาเสพติดที่หาได้ตามท้องถนนมากขึ้น จำนวนคนที่ตายจากโอ-เวอร์โด๊สทั้งหมดจะน้อยกว่านี้มาก

                ผู้ที่สนับสนุนให้ผ่อนคลายนโยบายเกี่ยวกับเมทาโดนเสนอให้เภสัชกรของร้านขายยาในชุมชนให้สามารถจ่ายเม-ทาโดนได้ด้วย ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกให้แก่คนไข้เป็นอย่างมากเนื่องจากคลินิกเมทาโดนส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมือง ทำให้ผู้ที่อยู่ในเมืองเล็กหรือชุมชนชนบทต้องเดินทางไกลเพื่อไปรับเมทาโดนที่คลินิก แต่ข้อเสนอเรื่องนี้ถูกต่อต้านโดยอุตสาหกรรมยารวมทั้งสมาคมของคลินิกเมทาโดนที่เป็นคลินิกแสวงหากำไรด้วย ผู้ที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่าการจ่ายเมทาโดนควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของคลินิกเมทาโดนเท่านั้นและอ้างว่าคนไข้จำเป็นต้องมีโครงสร้างของระบบคลินิกเพราะแพทย์ประจำคลินิกเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุดเกี่ยวกับบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดตระกูลฝิ่นด้วยเมทาโดน

                สมาคมของคลินิกเมทาโดนเห็นด้วยกับการจ่ายเมทาโดนให้ไปใช้เองที่บ้าน และสนับสนุนให้ร้านขายยาสามารถจ่ายเมทาโดนได้แต่จะต้องจ่ายยาตามใบสั่งของแพทย์จากคลินิกเมทาโดนเท่านั้น สมาคมฯไม่เห็นด้วยกับการที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยาเสพติดที่อยู่นอกระบบของคลินิกเมทาโดนเป็นผู้สั่งจ่ายเมทาโดน

พาร์คเกอร์เริ่มใช้ยาแก้ปวดเมื่ออายุ 21 ปี และขยับไปสู่เฮโรอีนในเวลาต่อมาก่อนที่เธอจะได้รับการบำบัดด้วยเมทาโดนเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเธอถูกศาลทำทัณฑ์บนเกี่ยวกับคดีลักทรัพย์ เธอไม่สามารถเดินทางข้ามเมืองเพื่อไปคลินิกเมทาโดนได้ทำให้เธอต้องกลับไปใช้เฮโรอีนซำ้อีกซึ่งทำให้เธอถูกจำคุกเป็นเวลา 17 เดือน หลังจากพ้นโทษแล้วเธอกลับไปใช้เฮโรอีนอีก แต่ต่อมาเธอกลับไปรับการบำบัดที่คลินิกเมทาโดนอีกครั้ง การไปคลินิกเมทาโดนนั้นเธอต้องเดินทางโดยรถโดยสารทุกวัน และเป็นเวลาถึงสี่ปีกว่าที่เธอจะได้รับอนุญาตให้รับเมทาโดนจำนวนสำหรับหนึ่งอาทิตย์ไปกินเองที่บ้าน

                การเดินทางไปคลินิกเมทาโดนเพียงอาทิตย์ละครั้งแทนท่ีจะต้องไปทุกวันทำให้พาร์คเกอร์มีเวลาทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับการดูแลสนามหญ้าได้และมีเวลาในการดูแลลูกสามคน (อายุ 9 ปี 14 ปี และ 19 ปี) ของเธอ

                พาร์คเกอร์กล่าวว่าสำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นคนไข้ที่ก่อปัญหามาก่อน และได้พยายามทำทุกอย่างอย่างถูกต้องนั้น พวกเขาควรได้รับการผ่อนปรนบ้าง

การผลักดันให้ผ่อนคลายนโยบายเกี่ยวกับเมทาโดนในสหรัฐอเมริกานั้นรวมถึงความพยายามผลักดันให้สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration – DEA) ของสหรัฐอเมริกาให้ยกเลิกข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้แพทย์สั่งจ่ายเมทาโดนได้เหมือนกับยาอื่นๆ และอนุญาตให้คนไข้สามารถไปรับเมทาโดนได้ที่ร้านขายยาแทนที่จะต้องไปรับเมทา-โดนทุกวันที่คลินิก และให้เปลี่ยนเมทาโดนจากยาควบคุมประเภท 2 เป็นยาควบคุมประเภท 3 ที่จะทำให้แพทย์สั่งจ่ายยาได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องผ่านคลินิกเมทาโดน

นอกจากนั้นแล้วยังมีการเรียกร้องให้องค์การบริการเกี่ยวกับสารเสพติดและบริการสุขภาพจิตของสถาบันยาเสพติดแห่งชาติยกเลิกเงื่อนไขที่ระบุว่าคนไข้ต้องติดยาตระกูลฝิ่นเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีก่อนที่ได้รับการบำบัดที่คลินิกเมทา-โดน และยกเลิกเงื่อนไขที่ให้คนไข้ต้องตรวจปัสสาวะสำหรับยาเสพติดตระกูลฝิ่นที่ผิดกฏหมาย เช่นเฮโรอีน ที่คนไข้ต้องทำเป็นประจำ

                ประธานาธิบดีไบเดนแสดงความต้องการที่จะขยายการรักษาด้วยการใช้ยาช่วย (Medication-Assisted Treatment หรือ MAT) และเสนอการเข้าถึงยารักษาทุกอย่างรวมทั้งเมทาโดนภายในปี 2025 แต่แผนของประธานาธิบดีไบเดนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักรณรงค์ว่ายังไม่เพียงพอ[1]

                ในขณะเดียวกับรัฐสภาของสหรัฐอเมริกาก็พยายามผลักดันกฏหมายที่จะขยายการเข้าถึงการรักษาด้วยเมทาโดนโดยมีสมาชิกของพรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรคเป็นผู้เสนอร่างกฏหมายนี้ร่วมกัน ร่างกฏหมายดังกล่าวจะอนุญาตให้คนไข้ท่ีต้องการได้รับการบำบัดด้วยเมทาโดนสามารถไปซื้อยาที่ร้านขายยาได้เองเพียงแต่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยาเสพติดเท่านั้น

                ร่างกฏหมายดังกล่าว (พรบ. ปรับปรุงการเข้าถึงการรักษาผู้ติดยาตระกูลฝิ่นให้ทันสมัย – Modernizing Opioid Treatment Access Act) ได้รับการนำเสนอแก่รัฐสภาสหรัฐอเมริกาในต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาส่งร่างพรบ. ให้แก่คณะกรรมการเกี่ยวกับสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และบำนาญ (Committee on Health, Education, Labor, and Pensions) ให้พิจารณาอย่างละเอียดต่อไป

                สหรัฐอเมริกามีชื่อเกี่ยวกับนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติดที่เข้มงวดมาก ในขณะเดียวกันวิกฤตการตายจากโอเวอร์โด๊สยาตระกูลฝิ่นของสหรัฐอเมริกาก็เป็นที่รู้จักกันมากเช่นกัน ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายเกี่ยวกับเมทาโดนเพื่อในการการบำบัดการติดยาเสพติดที่จะทำให้การเข้าถึงเมทาโดนเป็นเรื่องที่ง่ายเข้าย่อมจะเป็นแรงจูงใจให้ประเทศอื่นๆที่ยังลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีความมั่นใจในแนวทางนี้มากขึ้น แผนของประธานาธิบดีไบเดนรวมถึงการยกเลิกเงื่อนไขของรัฐบาลกลางที่จะทำให้แพทย์สามารถสั่งจ่ายยาบิวพรีนอร์ฟีนที่มักจะถูกนำไปผสมกับยานา-ล็อคโซน (naloxone) ที่เป็นยาฉุกเฉินสำหรับถอนพิษของการโอเวอร์โด๊สจากยาตระกูลฝิ่น ยาที่ผสมบิวพรีนอร์ฟีนและนาล็อคโซนนี้เรียกว่าซูบ็อคโซน (suboxone) แผนนี้ได้รับการวิจารณ์ว่าไม่ระบุงบประมาณ และขาดรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกต่างๆและรายละเอียดเกี่ยวกับการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเคลื่อนไปตามแผนนี้


[1] ในช่วงสูงสุดของวิกฤติ คาดว่ามีคนเกือบ 300 คนต่อวันที่ตายจากโอเวอร์โด๊สสหรัฐอเมริกา

[2] คลินิกเมทาโดนจำนวนหนึ่งเป็นคลินิกของเอกชนและทำงานเพื่อแสวงหากำไร คลินิกเมทาโดนจะต้องได้รับการรับรองโดยองค์การบริการเกี่ยวกับสารเสพติดและบริการสุขภาพจิตของสถาบันยาเสพติดแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีคลินิกเมทาโดนที่แสวงหากำไร 1,250 แห่งในสหรัฐอเมริกา เมทาโดนถือว่าเป็นยาควบคุมประเภท 2 ที่ต้องจ่ายผ่านคลินิกบำบัดยาเสพติดที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริการเกี่ยวกับสารเสพติดและบริการสุขภาพจิตเท่านั้น

แหล่งอ้างอิง:

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับผู้เขียน ดูกระทู้ทั้งหมด

อุดม ลิขิตวรรณวุฒิ