การใช้ยาเสพติดสารเสพติดรวมทั้งการใช้ยาแก้ปวดตามใบสั่งของแพทย์ในทางที่ผิดเป็นปัญหาที่พบมากในคนที่มีอายุไม่มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้สูงอายุจะไม่ติดยาเสพติดหรือใช้ยาที่แพทย์สั่งไปในทางที่ผิดเลย ในสหรัฐอเมริกาการใช้ยาเสพติดในผู้สูงอายุเริ่มมีมากขึ้น และวงการแพทย์ไม่พร้อมที่จะตอบสนองปัญหานี้ ในนสพ. The New York Times ฉบับวันที่9 กรกฎาคม 2566 มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้โดย Paula Span
นพ. เบนจามิน ฮัง (Dr. Benjamin Han) แพทย์เฉพาะทางด้านผู้สูงอายุและยาเสพติดจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก อธิบายแก่พอลล่า สแปน ผู้สื่อข่าวของ The New York Times ว่าโดยปกติเขาจะเริ่มด้วยการถามคนไข้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆที่ผู้สูงอายุเป็นกันเช่นโรคเรื้อรังการทำงานของร่างกายยาต่างๆที่คนไข้กินและผลเป็นอย่างไรบ้างและเขาจะถามต่อเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ดื่มเหล้าสูบกัญชาและยาอื่นๆที่ไม่ใช่ยาที่แพทย์สั่งและเสริมว่าโดยทั่วไปแล้วคนไข้มักจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องทำนองนี้และนพ. ฮังต้องถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในบริบทของสุขภาพโดยอธิบายว่าเมื่อคนมีอายุมากขึ้นการทำงานของร่างกายจะเปลี่ยนไปสมองจะมีความอ่อนไหวมากขึ้นและความทนต่อยาจะลดลงด้วยซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงมากขึ้นการพูดคุยในทำนองนี้ทำให้ นพ.ฮัง รู้ว่าทำไมคนไข้บางคนมีอาการนอนไม่หลับเพราะคนไข้นั้นใช้ยากระตุ้นเช่นยาบ้าในตอนเช้าเพื่อให้สามารถทำงานได้หรือคนไข้คนนั้นกินยาแก้ปวดตระกูลฝิ่นเป็นเวลานานแล้ว เพื่อแก้อาการปวด เรื้อรังและเกิดปัญหาขึ้นเพราะกินยาตัวใหม่เพิ่มขึ้นเช่นยาแก้ชักกาปาเพนติน(gabapentin)
ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคตับ และสมองเสื่อม จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อใช้ยาเสพติด และคนไข้ของนพ. ฮัง บางคนใช้ยาเกินขนาดหรือโอเวอร์โด๊ส และมีคนไข้สูงอายุบางคนเสียชีวิตเนื่องจากใช้ยาเกินขนาดแต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกมองข้ามไปในช่วงที่การติดยาเสพติดตระกูลฝิ่นเพิ่มสูงมากเพราะแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเพ่งเล็งความสนใจไปที่คนอายุน้อยซึ่งเป็นคนวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบต่อปัญหาของการระบาดของยาเสพติดตระกูลฝิ่นมากที่สุด
เมื่อกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์ (baby boomers)[1] เริ่มมีอายุประมาณ 65 ปีซึ่งเป็นอายุที่ชาวสหรัฐอเมริกาเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุของรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่าเมดิแคร์ (Medicare) จำนวนผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดจึงพุ่งสูงมากขึ้น ดร. คีธ ฮัมฟรีย์ (Dr. Keith Humphreys) นักจิตวิทยาและนักวิจัยเกี่ยวกับการใช้สารเสพติดจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดกล่าวว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะประชากรกลุ่มนี้คุ้นเคยกับการใช้สารเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานานแล้ว และเสริมว่ากลุ่มเบบี้ บูมเมอร์นี้ยังคงใช้สารเสพติดมากกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเขา และวงการเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มีความพร้อมต่อปรากฏการณ์นี้
หลักฐานใหม่ๆที่แสดงถึงปรากฏการณ์นี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การวิจัยที่เผยแพร่ผลการวิจัยในเวปไซต์ของสถาบันสุขภาพเมื่อไม่นานมานี้เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของการใช้ยาตระกูลฝิ่นในทางที่ผิด (opioid use disorder) ในผู้สูงอายุที่ใช้ระบบประกันสุขภาพเมดิแคร์ ผลวิเคราะห์แสดงว่าการใช้ยาตระกูลฝิ่นในทางที่ผิดเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในช่วงเวลาห้าปี จาก 4.6 คนต่อประชากร 1,000 คนเมื่อปีคศ. 2013 เป็น 15.7 รายต่อประชากร 1,000 คนเมื่อปีคศ. 2018
นักวิจัยคนหนึ่งของการวิจัยที่เอ่ยถึงข้างบนคิดว่าข้อมูลดังกล่าวอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะความกังวลต่อการตีตราทำให้ผู้ใช้สารเสพติดจำนวนหนึ่งไม่กล้าพูดเกี่ยวกับการใช้สารเสพติดของตนจำนวนการเสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาดในบรรดาผู้สูงอายุก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน อัตราการเสียชีวิตจากโอเวอร์โด๊สในผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าในช่วงปีคศ. 2002 ถึง 2021 จาก 3 คนในประชากร 100,000 เป็น 12 คนใน 100,000 ผลดังกล่าวมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมโดยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention) การเสียชีวิตเหล่านี้รวมถึงการจงใจฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับปฏิกิริยาระหว่างยาและความผิดพลาด (ในการใช้ยา) แต่การใช้ยาในทางที่ผิดในผู้สูงอายุนั้นส่วนมากเป็นยาที่แพทย์สั่งไม่ใช่ยาเสพติดผิดกฏหมาย เนื่องจากผู้ใช้บริการของเมดิแคร์ต้องกินยาหลายอย่างสำหรับโรคต่างๆโอกาสที่จะสับสนจึงมีมาก หากสูตรการกินยาซับซ้อนมากโอกาสที่จะเกิดความสับสนก็ย่อมมีมากตามไปด้วยและนำไปสู่โอเวอร์โด๊ส
ดร. ฮัมฟรีย์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าจำนวนการโอเวอร์โด๊สในผู้สูงอายุ (6,700 คนที่เสียชีวิตจากโอเวอร์โด๊สในปีคศ. 2021) เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นแล้วก็ยังเป็นจำนวนที่ต่ำอยู่ แต่อัตรานี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ดร. ฮัมฟรีย์ เตือนว่าจำนวนนี้เทียบเท่ากับจำนวนการเสียชีวิตเนื่องจากโอเวอร์โด๊สของปีคศ. 1998 ซึ่งในขณะนั้นก็ถือว่าเป็นจำนวนที่ต่ำและไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด แต่ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาตกอยู่ในสภาพที่น่าหดหู่มาก ในปีที่ผ่านมา (คศ. 2022) ชาวอเมริกันมากกว่า 100,000 คนเสียชีวิตจากโอเวอร์โด๊ส จากจำนวนผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพเมดิแคร์ มีเพียง 2% ที่รายงานว่าใช้ยาในทางที่ผิด (หรือเท่ากับผู้สูงอายุประมาณ 900,000 คน) และส่วนมาก (87%) ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในปีคศ. 2020 มีผู้สูงอายุ 11,616 คนเสียชีวิตจากการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด และเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วจำนวนการเสียชีวิตของผู้สูงอายุจากแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 18% ประมาณ 8.6% ของผู้สูงอายุใช้ยาเสพติดตระกูลฝิ่นซึ่งส่วนมากเป็นยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง อีก 4.3% ใชักัญชา และอีก 2% ใช้ยาเสพติดที่ไม่ใช่ยาตระกูลฝิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยากล่อมประสาท (tranquilizers) หรือยาคลายความกังวล (anti-anxiety medications) ซึ่งจำนวนผู้ที่ใช้ยาเสพติดประเภทต่างๆนี้คาบเกี่ยวกันเพราะผู้สูงอายุมักจะใช้ยาหลายชนิดพร้อม ๆ กันถึงแม้ว่าผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดส่วนน้อยเท่าน้ันที่เสียชีวิตจากโอเวอร์โด๊ส แต่ผลต่อเนื่องจากการใช้สารเสพติดสำหรับผู้สูงอายุอาจเป็นเรื่องที่รุนแรงมากได้ เช่นบาดเจ็บเพราะหกล้มหรืออุบัติเหตุ สมองเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว มะเร็ง โรคหัวใจและโรคตับ และไตล้มเหลว
ผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดยังมีปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกด้วย ผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดที่มีความรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมากมีมากกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ใช้สารเสพติดถึง 3 เท่า (14% เปรียบเทียบกับ 4) และ 7% ของผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดมีความรู้สึกต้องการฆ่าตัวตายเปรียบเทียบกับ 2% ของผู้สูงอายุที่ไม่ใช้สารเสพติด การวิจัยโดยนักเศรษฐศาสตร์สุขภาพของสถาบันวิจัยนานาประเทศอาร์ทีไอ (RTI international) จากสหรัฐอเมริกาแสดงว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพเมดิแคร์กับผู้สูงอายุที่อายุต่ำกว่า 65 ปี (แต่อยู่ภายใต้เมดิแคร์เพราะสาเหตุอื่นเช่นเป็นผู้พิการ) เพียง 6% ของผู้สูงอายุของเมดิแคร์ที่อายุมากกว่า 65 ปีได้รับการรักษาเกี่ยวกับปัญหาทางจิตใจเปรียบเทียบกับ 17% ของผู้ที่อยู่ในระบบเมดิแคร์ที่อายุน้อยกว่า และน้อยกว่า 50% ของผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีกล่าวว่าไม่มีแรงจูงใจที่จะแสวงหาการรักษาเกี่ยวกับปัญหาทางจิตใจ การใช้ยาเสพติดยังทำให้การที่จะแสวงหาการรักษาด้านจิตใจเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้ที่ใช้สารเสพติด
ดร. ฮัมฟรีย์ กล่าวว่าผู้สูงอายุบางคนไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าเขาติดยาเสพติด เพราะการยอมรับเช่นนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้สารเสพติดไม่ต้องการทำผู้สูงอายุที่ใช้สารเสพติดมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในระยะสิบปีที่ผ่านมาทำให้สถาบันแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติด (National Institute on Drug Abuse) ของสหรัฐอเมริกากล่าวว่าปัญหานี้เป็นโรคระบาดที่มองไม่เห็น นอกจากการรายงานเกี่ยวกับปัญหาการระบาดนี้โดย The New York Times แล้ว สื่อด้านสุขภาพหลายแห่งก็มีรายงานเกี่ยวกับปัญหานี้เช่นกันรวมถึงองค์การสหประชาชาติที่ระบุถึงปัญหาอื่นๆนอกเหนือจากปัญหาด้านสุขภาพด้วย รวมถึงผลกระทบต่อคลังยาสำรองของประเทศและนำไปสู่การขาดแคลนของยาบางชนิดสำหรับรักษาโรคจิต รายงานประจำปีของคณะกรรมการควบคุมสารเสพติดนานาชาติ (The International Narcotics Control Board – INCB) กล่าวว่าการใช้ยาแก้ปวด ยากล่อมประสาท (tranquilizer) ยาระงับประสาท (sedative) ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีเพิ่มมากขึ้น ประชากรกลุ่มนี้ที่ใช้สารเสพติดจะมีปัญหาที่เกี่ยวกับชราภาพด้วยจึงเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก การที่ต้องอยู่ตามลำพังโดดเดี่ยวในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่มีการใช้มาตราการกักบริเวณผู้คนเพิ่มความซับซ้อนสำหรับผู้สูงอายุขึ้นไปอีก ปัจจัยอื่นที่อาจมีผลต่อปัญหาการใช้สารเสพติดในผู้สูงอายุคือการแพร่ระบาดและความก้าวหน้าเกี่ยวกับการซื้อขายสารเสพติดผิดกฏหมายทางออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มโอกาสการได้ยาเสพติดที่ผสมยาเสพติดที่รุนแรงคือเฟนทานิล (fentanyl)
ซึ่งเป็นยาตระกูลฝิ่นแบบสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง (synthetic opiod) ที่มีผลรุนแรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 50-100 เท่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากโอเวอร์โด๊สเป็นอย่างมาก (เหตุผลหนึ่งที่ผู้ค้าจงใจผสม เฟนทานิลในยาเสพติดชนิดอื่นคือเพื่อเพิ่มความรู้สึกเมายาให้มากขึ้น) การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ที่จะมีผู้สูงอายุมากขึ้น และแนวโน้มในการใช้สารเสพติดในผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นทั้งเนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งมีโรคประจำตัวหลายอย่างและต้องกินยาหลายชนิดในแต่ละวันอาจทำให้เกิดการติดยาได้อย่างไม่ตั้งใจหรือเกิดโอเวอร์โด๊สได้โดยบังเอิญ หรือผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่ใช้สารเสพติดเพราะเป็นเรื่องที่ทำมาก่อนแล้วก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวกับร่างกาย จิตใจ และสังคมต่างๆมากมายที่จำเป็นที่จะต้องมีแนวทางการทำงานแบบสหวิชาชีพสำหรับป้องกันและรักษาการระบาดที่ซ่อนอยู่ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ รวมถึงแนวทางการทำงานเพื่อลดอันตรายจากการใช้สารเสพติดที่จะต้องมีการออกแบบเป็นการเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุด้วย
แหล่งอ้างอิง:
- Span, P. (2023, July 9). Substance abuse is climbing among seniors. The New York Times. https://www.nytimes.com/2023/07/09/health/seniors-substance-abuse.html
- Shoff, C., Yang, T. C., & Shaw, B. A. (2021). Trends in opioid use disorder among older adults: Analyzing Medicare data, 2013–2018. American Journal of Preventive Medicine, 60(6), 850–855. https://doi.org/10.1016/j.amepre.2021.01.010
- Parish, W. L., Mark, T. L., Weber, E. J., & Steinberg, D. K. (2022). Substance use disorders among Medicare beneficiaries: prevalence, mental and physical comorbidities, and treatment barriers. American Journal of Preventive Medicine, 63(2), 225–232. https://doi.org/10.1016/j.amepre.2022.01.021
- Drug use among older persons a ‘hidden epidemic’, narcotics experts warn. (2021, March 29). UN News. https://news.un.org/en/story/2021/03/1088252
- เฟนทานิล (Fentanyl) – กองควบคุมวัตถุเสพติด. (n.d.). https://mnfda.fda.moph.go.th/narcotic/?p=12378
[1] เบบี้ บูมเมอร์ (baby boomers) หมายถึงประชากรชาวอเมริกาที่เกิดในช่วงปีคศ. 1946-1964 ยุคหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง